อัคคัญญสูตร เป็นสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแสดงแก่สามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะ ( เดิมทั้งสองนับถือศาสนาอื่นอยู่ ) แต่เป็นผู้หวังจะเป็นภิกษุ จึงอยู่อบรมในสานักของภิกษุทั้งหลาย  ซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาเย็น     พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จออกจากที่หลีกเร้นแล้วได้เสด็จลงจากปราสาททรงจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้งที่ร่มเงาปราสาท

      สามเณรวาเสฏฐะจึงได้ชวนสามเณรภารทวาชะไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อฟังพระธรรมเทศนา   ดังนั้นทั้งสองจึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคซึ่งกำลังจงกรมอยู่ พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งเรียกสามเณรทั้งสองมาแล้วตรัสถามถึงความที่ทั้งสองมีชาติเป็นพราหมณ์ มีตระกูลเป็นพราหมณ์ออกจากตระกูลของพราหมณ์ บวชเป็นบรรพชิต ไม่ถูกพวกพราหมณ์ด่าหรือบริภาษบ้างหรือ   สามเณรทั้งสองจึงทูลตอบว่า พวกพราหมณ์ทั้งด่าทั้งบริภาษทั้งเหยียดหยามอย่างเต็มรูปแบบเลยทีเดียว

    พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามว่าถูกด่า ถูกบริภาษ ถูกเหยียดหยามว่าอย่างไรบ้าง สามเณรทั้งสองทูลตอบว่า พวกพราหมณ์กล่าวว่า วรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือวรรณะพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นเลว วรรณะที่ขาวคือพราหมณ์เท่านั้น วรรณะอื่นดำ พราหมณ์เท่านั้นที่บริสุทธิ์ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตรเป็นโอรสที่เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม เกิดจากพระพรหม เป็นผู้ที่พระพรหมสร้างขึ้น เป็นทายาทของพระพรหม การที่ทั้งสองมาละวรรณะที่ประเสริฐที่สุด เข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือ  วรรณะโล้น เป็นคนรับใช้ เป็นวรรณะต่ำ ( กัณหโคตร ) เป็นเผ่าของมาร เกิดจากพระบาทของพระพรหมนี้ ไม่เป็นความดี ไม่เป็นการสมควรเลย

     เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบดังนั้น จึงตรัสว่าพวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของตนไม่ได้ จึงกล่าวว่าอย่างนั้น ความจริงก็ปรากฏชัดอยู่แล้วว่า นางพราหมณีของพราหมณ์ทั้งหลายมีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกดื่มนมบ้าง ความจริงแล้วพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้ที่เกิดจากช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น ยังจะกล่าวว่าวรรณะที่ประเสริฐที่สุดคือ วรรณะพราหมณ์เท่านั้น ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม พราหมณ์เหล่านั้นกล่าวตู่พรหมและพูดเท็จ พวกเขาจะต้องประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญเป็นอันมากแน่

               แล้วจึงตรัสเรื่องมนุษย์  ๔ วรรณะ ที่ทำชั่วทำดีได้อย่างเดียวกัน และเรื่องที่พระเจ้าปเสนทิโกศล ( ผู้เป็นกษัตริย์ ) แต่ปฏิบัติต่อพระองค์ ซึ่งพวกพราหมณ์ถือว่าเป็นพวกดำ  ( เพราะปลงศีรษะออกบวช ) อย่างเต็มด้วยความเคารพ

               ครั้นแล้วจึงตรัสเป็นเชิงปลอบใจ หรือให้หลักการใหม่ ว่าทั้งสองมาบวช จากโคตร จากสกุลต่างๆ เมื่อมีผู้ถามว่าเป็นใครก็ให้ตอบว่า เป็นสมณะศากยบุตร ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตรเป็นโอรสของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมสร้างและ ผู้เป็นธรรมทายาท ( ผู้รับมรดกธรรม ) ทั้งนี้เพราะคำว่า ธัมมกาย  ( กายธรรม) พรหมกาย ( กายพรหม ) และผู้เป็นธรรม ผู้เป็นพรหม นี้เป็นชื่อของตถาคต

               ทรงตรัสอย่างนี้เป็นการแก้ข้อด่าของพวกพราหมณ์ดังที่ปรากฏมาในเบื้องต้น   โดยสร้างหลักการใหม่ให้พวกมาบวชจากทุกวรรณะได้ชื่อว่ามีกำเนิดใหม่ที่ไม่แพ้พวกพราหมณ์

               ครั้นแล้วจึงตรัสเรื่อง สมัยหนึ่งโลกหมุนเวียนไปสู่ความพินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหมกันโดยมาก เมื่อโลกหมุนกลับ ( คือเกิดใหม่ภายหลังพินาศ ) สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นภักษา ( ยังมีอำนาจฌานอยู่ ) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ในอากาศ ( เช่นเดียวกับเมื่อเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม ) อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน

 

ความปรากฏแห่งง้วนดิน

               สมัยนั้น ทั่วจักรวาลนี้เป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนอนธการ  ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายยังไม่ปรากฏ กลางคืน กลางวันยังไม่ปรากฏ เดือนหนึ่ง ครึ่งเดือน ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฏ หญิงชายก็ยังไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายปรากฏชื่อแต่เพียงว่า สัตว์ เท่านั้น ครั้นเวลาล่วงมาช้านาน ก็เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำ ปรากฏแก่สัตว์เหล่านั้นดุจน้ำนมที่บุคคลเคี่ยวให้แห้งแล้วทำให้เย็นสนิทจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ง้วนดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ด้วยรส มีสีเหมือนเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี และมีรสอร่อยเหมือนน้ำผึงมิ้มซึ่งปราศจากโทษ ต่อมาสัตว์ผุ้หนึ่งมีนิสัยโลภกล่าวว่า ท่านผู้เจริญสิ่งนี้คืออะไร แล้วใช้นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดู  เมื่อเข้าใช้นิ้วซ้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดูอยู่ รสง้วนดินก็ได้แผ่ซ่านไป และสัตว์เหล่านั้นก็เกิดความอยากในรสขึ้นเช่นเดียวกัน

 

 

ความปรากฏแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เป็นต้น

     ต่อมา สัตว์เหล่านั้นพากันใช้มือปั้นง้วนดินให้เป็นคำ ๆ เพื่อจะบริโภค  เมื่อใดสัตว์เหล่านั้นพากันใช้มือปั้นง้วนดินให้เป็นคำ ๆ เพื่อบริโภค เมื่อนั้นรัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไป เมื่อรัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายหายไป ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ เมื่อดวงดวงนักษัตรทั้งหลายปรากฏ กลางวัน กลางคืนก็ปรากฏ เมื่อกลางคืน กลางวันปรากฏ เดือนหนึ่งครึ่งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่ง ครึ่งเดือนปรากฏ ฤดูและปีก็ปรากฏ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกนี้ จึงได้กลับฟื้นขึ้นอีก

               เมื่อง้วนดินหายไป สัตว์เหล่านั้นจึงประชุมกัน ครั้นแล้วต่างก็พากันโหยหาว่า รสเอ๋ย รสเอ๋ย แม้ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน พวกมนุษย์ได้ของมีรสดีบางอย่าง มักกล่าวอย่างนี้ว่า รสเอ๋ย รสเอ๋ย พวกพราหมณ์พากันนึกได้แต่คำโบราณที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกเท่านั้น แต่ไม่รู้เนื้อความแห่งคำนั้นเลย

ความปรากฏแห่งสะเก็ดดิน

               เมื่อง้วนดินของสัตว์เหล่านั้นหายไป สะเก็ดดินก็ปรากฏ สะเก็ดดินนั้นปรากฏลักษณะเหมือนดอกเห็ด สะเก็ดดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบรูณ์ด้วยรส มีสีเหมือนเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี และมีรสอร่อยเหมือนน้ำผึ้งมิ้มซึ่งปราศจากโทษ

               ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นได้พากันบริภาคสะเก็ดดิน เมื่อบริโภคสะเก็ดดินนั้นมีนะเก็ดดินนั้นเป็นภักษา มีสะเก็ดดินนั้นเป็นอาหาร ได้ดำรงอยู่นานแสนนาน  สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายหยาบขึ้น อีกทั้งผิวพรรณก็ปรากฏแตกต่างกันสัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม บางพวกมีผิวพรรณทราม สัตว์ใดมีผิวพรรณงาม สัตว์เหล่านั้นก็ดูหมิ่นสัตว์ที่มีผิวพรรณทรามว่า  พวกตนเป็นพวกที่มีผิวพรรณงาม สัตว์เหล่านั้นเป็นพวกที่มีผิวพรรณทรามกว่าตน เมื่อสัตว์เหล่านั้นเกิดมีมานะถือตัว เพราะการดูหมิ่นเรื่องผิวพรรณเป็นปัจจัย สะเก็ดดินจึงหายไป

ความปรากฏแห่งเครือดิน

      เมื่อสะเก็ดดินหายไป เครือดินก็ปรากฏ เครือดินนั้นปรากฏคล้ายเถาผักบุ้ง เครือดินนั้นสมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ด้วยรส มีสีเหมือนเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี และมีรสอร่อยเหมือนน้ำผึ้งมิ้มซึ่งปราศจากโทษ

     ครั้นนั้น สัตว์เหล่านั้นได้พากันบริโภคเครือดิน เมื่อบิภาคเครือดินนั้น มีเครือดินนั้นเป็นภักษา มีเครือดินนั้นเป็นอาหาร ดำรงอยู่นานแสนนาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที  ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป    สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม  สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม  ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น  สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม  พากันดูหมิ่นพวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า  พวกเรามี  ผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน  พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเราดังนี้  เมื่อสัตว์ทั้งสอง  พวกนั้นเกิดการไว้ตัวดูหมิ่นกันเพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย  เครือดิน  ก็หายไป 

     เมื่อเครือดินหายไปแล้ว  สัตว์เหล่านั้นก็พากันจับกลุ่ม  ครั้นแล้วต่างก็  บ่นถึงกันว่า  เครือดินได้เคยมีแก่พวกเราหนอ  เดี๋ยวนี้เครือดินของพวกเราได้  สูญหายเสียแล้วหนอ    ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน  คนเป็นอันมาก  พอถูกความ  ระทมทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งมากระทบ  ก็มักบ่นกันอย่างนี้ว่า  สิ่งของของเราทั้งหลาย    ได้เคยมีแล้ว  แต่เดี๋ยวนี้  สิ่งของของเราทั้งหลายได้มาสูญหายเสียแล้ว ดังนี้    พวกพราหมณ์ระลึกได้ถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดีเป็นของโบราณนั้นเท่านั้น       แต่ไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งเรื่องราวที่แท้จริง

 

ความปรากฏแห่งข้าวสาลีในที่ที่ไม่ต้องไถ

               เมื่อเครือดินของสัตว์  เหล่านั้นหายไปแล้ว  ก็เกิดมีข้าวสาลีขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ  เป็นข้าวไม่มีรำ  ไม่มี  แกลบ  ขาวสะอาด  กลิ่นหอม  มีเมล็ดเป็นข้าวสาร  ตอนเย็นสัตว์เหล่านั้นนำเอา    ข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภค

     ในเวลาเย็น ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุก ก็งอกขึ้นแทนที่  ตอนเช้าเขาพากันไปนำเอาข้าวสาลีใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้า  ตอนเย็นข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกแล้วก็งอกขึ้นแทนที่  ไม่ปรากฏว่าบกพร่องไปเลย  ครั้งนั้นพวกสัตว์บริโภคข้าวสาลีที่เกิดขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ  พากันรับประทานข้าวสาลีนั้น  มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร  ดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน 

ความปรากฏแห่งเพศหญิงและเพศชาย

    การที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคข้าวสาลีอันเกิดขึ้นเองอยู่รับประทานข้าวสาลีนั้น  มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร  ดำรงมาได้สิ้นการช้านาน  สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที  ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันออกไป  สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ  และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏ  นัยว่า  สตรีก็    เพ่งดูบุรุษอยู่เสมอ  และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เสมอ  เมื่อคนทั้งสองเพศ  ต่างเพ่งดูกันอยู่เสมอ  ก็เกิดความกำหนัดขึ้น  เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย  เพราะความเร่าร้อนเป็นปัจจัย  เขาทั้งสองจึงเสพเมถุนธรรมกัน  ฯ

           ในสมัยนั้นสัตว์เหล่านั้นเห็นสัตว์เหล่าอื่นเสพเมถุนธรรมกันอยู่ ก็จะโปรยฝุ่นใส่บ้าง  โปรยเถ้าใส่บ้าง  โยนมูลโคใส่บ้าง  พร้อมกับพูดว่า  คนชาติชั่ว  จงฉิบหาย  คนชาติชั่ว  จงฉิบหาย  ดังนี้  แล้วพูดต่อไปว่า  ก็ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์  จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า  ข้อที่ว่ามานั้น  จึงได้สามารถเปรียบเทียบกับธรรมเนียมในปัจจุบัน ซึ่งมีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ   จนถือเป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวันนี้ ในชนบทบางแห่ง  ซึ่งได้มีการโปรยฝุ่นใส่บ้าง  โปรยเถ้าใส่บ้าง  โยนมูลโคใส่บ้าง  ในเมื่อเขาจะนำสัตว์ที่ประพฤติชั่วร้าย    ไปสู่ตะแลงแกง  พวกพราหมณ์มาระลึกถึงแต่เรื่องที่รู้กันว่าเป็นของดีอันเป็นของโบราณนั้นเท่านั้น  แต่พวกเขาไม่รู้ชัดถึงเนื้อแท้ของเรื่องนั้นเลย  ฯ 

             ก็สมัยนั้นการโปรยฝุ่นใส่กันเป็นต้น  สมมติกันว่าไม่เป็นธรรม  มาในสมัยนี้ก็สมมติกันว่าเป็นธรรมขึ้น ในสมัยนั้น สัตว์พวกใดเสพเมถุนกัน  สัตว์เหล่านั้นก็จะถูกห้ามเข้าบ้าน หรือไม่สามารถเข้าสู่หมู่บ้านได้ตลอดสองเดือน    บ้าง  สามเดือนบ้าง  

     เมื่อสัตว์ทั้งหลายพากันเสพอสัทธรรมนั่นอยู่เสมอ  เมื่อนั้นจึงพยายามสร้างเรือนกันขึ้น  เพื่อเป็นที่กำบังหรือปกปิดอสัทธรรมนั้น   ครั้งนั้น  สัตว์ผู้หนึ่ง  เกิดความเกียจคร้านขึ้น  จึงได้มีความเห็นอย่างนี้ว่า  ดูกรท่านผู้เจริญ  เราช่างลำบากเสียนี่กระไร  ที่ต้องไปเก็บข้าวสาลีมา  ทั้งในเวลาเย็นสำหรับอาหารเย็น  ทั้งในเวลาเช้าสำหรับอาหารเช้า  อย่ากระนั้นเลย  เราควรไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้าเสีย  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสัตว์ผู้นั้นก็ไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้  เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวเลย 

    ต่อมาก็มีการชักชวนกันให้ไปเก็บมาตุนไว้ โดยกล่าวว่าเราน่าจะไปเก็บข้าวสาลีกันเถอะนะ   สัตว์ผู้นั้นตอบว่า  ดูกรสัตว์ผู้เจริญ  ฉันไปเก็บเอาข้าวสาลี    มาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวแล้วจะได้ไม่ต้องไปเก็บบ่อยๆ  ต่อมา  สัตว์ผู้นั้นก็มีการเลียนแบบ จึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้คราวเดียวเพื่อสองวัน  แล้วพูดว่า    ได้ยินว่าแม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันท่านผู้เจริญ  ต่อมาสัตว์อีกผู้หนึ่ง  เข้าไปหาสัตว์ผู้นั้นแล้วชวนว่า  ดูกรสัตว์ผู้เจริญ  มาเถิด  เราจักไปเก็บข้าวสาลีกัน  สัตว์ผู้นั้นตอบว่า  ดูกรสัตว์ผู้เจริญ  ฉันไปเก็บเอาข้าวสาลี    มาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวแล้ว  ฯ 

               ครั้งนั้นแล  สัตว์ผู้นั้นถือตามแบบอย่างของ สัตว์นั้น  จึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้คราวเดียวเพื่อสี่วัน  แล้วพูดว่า  แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน  ท่านผู้เจริญ  ต่อมาสัตว์อีกผู้หนึ่งเข้าไปหาสัตว์ผู้นั้น  แล้วชวนว่า  ดูกรสัตว์ผู้เจริญ  มาเถิดเราจักไปเก็บข้าวสาลีกัน  สัตว์ผู้นั้นตอบว่า  ดูกรสัตว์ผู้เจริญ  ข้าพเจ้าได้ไปเก็บข้าวสาลีมาไว้คราวเดียว    เพื่อสี่วันแล้ว 

     ครั้งนั้นแล  สัตว์ผู้นั้นถือตามแบบอย่างของสัตว์นั้น  จึงไปเก็บข้าวสาลีมาไว้คราวเดียวเพื่อแปดวัน  แล้วพูดว่า   แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่านผู้เจริญ  เมื่อใด  สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นพยายามเก็บข้าวสาลีสะสมไว้เพื่อบริโภคกันขึ้น  เมื่อนั้นแลข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้าวมีรำห่อเมล็ดบ้าง  มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง  ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกแทน  ปรากฏว่าขาดเป็นตอนๆ  (ตั้งแต่นั้นมา)  จึงได้มีข้าวสาลีเป็นกลุ่มๆ  ฯ

               ในครั้งนั้น  สัตว์เหล่านั้นพากันมาจับกลุ่ม  ครั้นแล้วต่างก็มาปรับทุกข์กันว่า  ดูกรท่านผู้เจริญ  เดี๋ยวนี้เกิดมีธรรม  ทั้งหลายอันเลวทรามปรากฏขึ้นในสัตว์ทั้งหลายแล้ว   เมื่อก่อนพวกเราได้เป็นผู้สำเร็จทางใจ  มีปีติเป็นอาหาร  มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง  สัญจรไปได้  ในอากาศ  อยู่ในวิมานอันงาม  สถิตอยู่ในวิมานนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน  บางครั้งบางคราว โดยระยะยืดยาวช้านาน  เกิดง้วนดินลอยขึ้นบนน้ำ  ทั่วไปแก่เราทุกคน    ง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี  กลิ่น  รส  พวกเราทุกคนพยายามปั้นง้วนดินกระทำให้เป็นคำๆ ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภค  เมื่อพวกเราทุกคนพยายามปั้นง้วนดินกระทำให้เป็นคำๆ  ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภคอยู่รัศมีกายก็หายไป  เมื่อรัศมีกายหายไปแล้ว  ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้น  เมื่อดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น  แล้ว  ดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏขึ้น  เมื่อดวงดาวนักษัตรทั้งหลาย  ปรากฏขึ้นแล้ว    กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏขึ้น  เมื่อกลางคืนและกลางวันปรากฎขึ้นแล้ว  เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏขึ้น  เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนปรากฏขึ้นแล้ว  ฤดูและ  ปีก็ปรากฏ  พวกเราทุกคนบริโภคง้วนดินอยู่  รับประทานง้วนดิน  มีง้วนดินเป็น  อาหารดำรงชีพอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน  เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏ  ขึ้นแก่พวกเรา  ง้วนดินจึงหายไป  เมื่อง้วนดินหายไปแล้ว  จึงมีกระบิดินปรากฏขึ้น    กระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี  กลิ่น  รส  พวกเราทุกคนบริโภคกระบิดิน เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคกระบิดินนั้นอยู่  รับประทานกระบิดิน  มีกระบิดินเป็นอาหาร  ดำรงอยู่  ได้สิ้นกาลช้านาน  เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเรา กระบิดินจึงหายไป 

     เมื่อกระบิดินหายไปแล้ว  จึงมีเครือดินปรากฏขึ้น  เครือดินนั้น    ถึงพร้อมด้วยสี  กลิ่น  รส  พวกเราทุกคนพยายามบริโภคเครือดิน  เมื่อพวกเรา    ทุกคนบริโภคเครือดินนั้นอยู่  รับประทานเครือดิน  มีเครือดินเป็นอาหาร  ดำรงอยู่    ได้สิ้นกาลช้านาน  เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเรา    เครือดินจึงหายไป  เมื่อเครือดินหายไปแล้ว  จึงมีข้าวสาลีปรากฏขึ้นเองในที่ไม่ต้องไถ  เป็นข้าวที่ไม่มีรำ  ไม่มีแกลบ  ขาวสะอาด  กลิ่นหอม  มีเมล็ดเป็นข้าวสาร  ตอนเย็นพวกเราทุกคนไปนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเย็น  ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกก็งอกขึ้นแทนที่  ตอนเช้าพวกเราทุกคนไปนำ    เอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้าและตอนเย็น  ข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ด  สุกก็งอกขึ้นแทนที่  ไม่ปรากฏว่าบกพร่องไปเลย  เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคข้าวสาลี    ซึ่งเกิดขึ้นเองในที่ไม่ต้องไถอยู่  รับประทานข้าวสาลีนั้น  มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร  ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน  เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเรา ข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้าวมีรำหุ้มเมล็ดบ้าง  มีแกลบห่อเมล็ดไว้บ้าง    แม้ต้นที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทนที่  ปรากฏว่าขาดเป็นตอนๆ  จึงได้มีข้าวสาลี    เป็นกลุ่มๆ  อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรมาแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน    เสียเถิด  ครั้นแล้ว  สัตว์ทั้งหลายจึงแบ่งข้าวสาลี    ปักปันเขตแดนกัน 

    ครั้งนั้นแล  สัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลภ  สงวนส่วนของตนไว้  ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภคสัตว์    ทั้งหลายจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น  แล้วได้ตักเตือนอย่างนี้ว่า  แน่ะสัตว์  ผู้เจริญ  ก็ท่านกระทำกรรมชั่วช้านัก  ที่สงวนส่วนของตนไว้  ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่  เขาไม่ได้ให้มาบริโภค  ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย  สัตว์ผู้นั้นแล  รับคำของสัตว์เหล่านั้นแล้ว  แม้ครั้ง  ที่  ๒  ...  แม้ครั้งที่  ๓  สัตว์นั้นสงวนส่วนของตนไว้  ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้  ให้มาบริโภค  สัตว์เหล่านั้นจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น  ครั้นแล้วได้ตักเตือนว่า สัตว์ผู้เจริญ  ท่านทำกรรมอันชั่วช้านัก  ที่สงวนส่วนของตนไว้  ไปเอาส่วน  ที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค  ท่านอย่าได้กระทำกรรมอันชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย  สัตว์พวกหนึ่งประหารด้วยฝ่ามือ  พวกหนึ่งประหารด้วยก้อนดินบ้าง  พวกหนึ่งประหาร  ด้วยท่อนไม้  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา    การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จึงปรากฏ  การติเตียนจึงปรากฏ  การกล่าวเท็จ  จึงปรากฏการถือท่อนไม้จึงปรากฏ

      ครั้งนั้นแล  พวกสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงประชุมกัน  ครั้นแล้วต่างก็ปรับทุกข์กันว่า  พ่อเอ๋ย  ก็การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้   ให้จักปรากฏ  การติเตียนจักปรากฏ  การพูดเท็จจักปรากฏ  การถือท่อนไม้จัก  ปรากฏ  ในเพราะบาปธรรมเหล่าใด  บาปธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฏแล้วในสัตว์    ทั้งหลาย  อย่ากระนั้นเลย  พวกเราจักสมมติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควร    ว่ากล่าวได้โดยชอบ  ให้เป็นผู้ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ  ให้เป็นผู้ขับไล่    ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ  ส่วนพวกเราจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น  ดังนี้   

     ครั้นแล้ว  สัตว์เหล่านั้นก็พากันเข้าไปหาสัตว์ที่สวยงามกว่าน่าดูน่าชมกว่า  น่าเลื่อมใสกว่า  และน่าเกรงขามมากกว่าสัตว์ทุกคน  แล้วจึงแจ้งเรื่องนี้ว่า  ข้าแต่สัตว์ผู้เจริญมาเถิดพ่อ  ขอพ่อจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่า  กล่าวได้โดยชอบ  จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ  จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้  โดยชอบเถิด  ส่วนพวกข้าพเจ้าจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่พ่อ  สัตว์ผู้นั้นแลรับคำของสัตว์เหล่านั้นแล้ว  จึงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้  โดยชอบติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ  ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนสัตว์เหล่านั้นก็แบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่สัตว์ที่เป็นหัวหน้านั้น  ฯ 

               เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้าอันมหาชนสมมติ อักขระว่า  มหาชนสมมติ  จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก    เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้า  เป็นใหญ่ยิ่งแห่งเขาทั้งหลาย  อักขระว่า    กษัตริย์  กษัตริย์  จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่สอง  เพราะเหตุที่ผู้เป็นหัวหน้ายังชน  เหล่าอื่นให้สุขใจได้โดยธรรม  ดังนี้แล  อักขระว่า  ราชา  ราชา  จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่สาม  การบังเกิดขึ้น  แห่งพวกกษัตริย์นั้นมีขึ้นได้  เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดีเป็นของโบราณ    เรื่องของสัตว์เหล่านั้น  จะต่างกันหรือเหมือนกัน  จะไม่ต่างกันหรือ ไม่เหมือนกัน  ก็ด้วยธรรมเท่านั้น  ไม่ใช่นอกไปจากธรรมความจริง  ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในประชุมชนทั้งในเวลาที่เห็นอยู่  ทั้งในเวลาภายหน้า  ฯ

               ครั้งนั้นแล  สัตว์บางจำพวกได้มี    ความคิดขึ้นอย่างนี้ว่า  พ่อเอ๋ย การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฏ  การติเตียนจักปรากฏ  การกล่าวเท็จจักปรากฏ  การถือท่อนไม้จักปรากฏ  การขับไล่จักปรากฏ  ในเพราะบาปธรรมเหล่าใด  บาปธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฏแล้วในสัตว์ทั้งหลาย  อย่ากระนั้นเลย  พวกเราควรไปลอยอกุศลธรรมที่ชั่วช้ากันเถิด  สัตว์เหล่านั้นพากันลอยอกุศลธรรมที่ชั่วช้าแล้วเพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นพากันลอยอกุศลธรรมที่ชั่วช้าอยู่ดังนี้  อักขระว่า พวกพราหมณ์ๆ  จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก  พราหมณ์เหล่านั้นพากันสร้างกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า  เพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้  พวกเขาไม่มีการหุงต้มและไม่มีการตำข้าว  เวลาเย็น  เวลาเช้า  ก็พากันเที่ยวแสวงหา    อาหารตามคาม นิคมและราชธานี  เพื่อบริโภคในเวลาเย็นเวลาเช้า

     เขาเหล่านั้นเมื่อได้อาหารแล้ว จึงพากันกลับไปเพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในป่าอีก  คนทั้งหลายเห็นพฤติการณ์ของพวกพราหมณ์นั้นแล้วพากันพูดอย่างนี้ว่า    พ่อเอ๋ย  สัตว์พวกนี้แลพากันมาสร้างกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า    แล้วเพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้  ไม่มีการหุงต้ม  ไม่มีการตำข้าว    เวลาเย็นเวลาเช้า  ก็พากันเที่ยวแสวงหาอาหารตามคามนิคมและราชธานี  เพื่อ    บริโภคในเวลาเย็นเวลาเช้า  เขาเหล่านั้นครั้นได้อาหารแล้วจึงพากันกลับไปเพ่งอยู่  ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าอีก  ฯ 

                 เพราะเหตุนั้นแล  อักขระว่าพวกเจริญฌาน  พวกเจริญฌานดังนี้  จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่สอง  บรรดาสัตว์เหล่านั้นแล    สัตว์บางพวก เมื่อไม่อาจสำเร็จฌานได้ที่กระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า  จึงเที่ยวไปยังคามและนิคมที่ใกล้เคียงแล้วก็จัดทำพระคัมภีร์มาอยู่  คนทั้งหลายเห็น    พฤติการณ์ของพวกพราหมณ์นี้นั้นแล้ว  จึงพูดอย่างนี้ว่า  พ่อเอ๋ย  ก็สัตว์เหล่านี้ไม่อาจสำเร็จฌานได้ที่กระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า  เที่ยวไปยังบ้าน    และนิคมที่ใกล้เคียง  จัดทำพระคัมภีร์ไปอยู่  บัดนี้  พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่  บัดนี้  พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่  ดังนี้แล  อักขระว่า  อชฺฌายิกา  อชฺฌายิกา  จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่สาม  ก็สมัยนั้นการทรงจำ  การสอน  การบอกมนต์  ถูกสมมติขึ้นว่าดีหรือเลวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประการดังกล่าวมานี้แล  การอุบัติขึ้นแห่งพวกพราหมณ์นั้นมีขึ้นได้  เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดีเป็นของโบราณอย่างนี้แล  เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกันหรือเหมือนกันจะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน  ก็ด้วยธรรม  เท่านั้น  ไม่ใช่นอกไปจากธรรม  ความจริงธรรม    เท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในประชุมชน  ทั้ง

ในเวลาที่เห็นอยู่ทั้งในเวลาภายหน้า  ฯ

               บรรดาสัตว์เหล่านั้นแลสัตว์บางจำพวกยึดมั่นเมถุนธรรม  แล้วประกอบการงานเป็นแผนกๆ  เพราะเหตุที่สัตว์  เหล่านั้นยึดมั่นเมถุนธรรม  แล้วประกอบการงานเป็นแผนกๆ  นั้นแล  อักขระว่า    เวสฺสา  เวสฺสาดังนี้  จึงอุบัติขึ้นด้วยประการดังที่กล่าวมานี้  การอุบัติขึ้นแห่งพวกแพศย์นั้นมีขึ้นได้  เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี  เป็นของโบราณอย่างนี้แล   เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกันหรือเหมือนกัน     จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน  ก็ด้วยธรรมเท่านั้น      ไม่ใช่นอกไปจาก

ธรรม  ฯลฯ    ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้แล   การอุบัติขึ้นแห่งพวก  ศูทรนั้นมีขึ้นได้  เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี  เป็นของโบราณ  อย่างนี้แล    เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกันหรือเหมือนกัน  จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน    ก็ด้วยธรรมเท่านั้น  ไม่ใช่นอกไปจากธรรม  ความจริง  ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในประชุมชนทั้งในเวลาที่เห็นอยู่  ทั้งในเวลาภายหน้า  ฯ 

                มีสมัยอยู่  ที่กษัตริย์บ้างพราหมณ์บ้าง  แพศย์บ้าง  ศูทรบ้าง ตำหนิธรรมของตน  จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต  ด้วยประสงค์ว่า เราจักเป็สมณะ  พวกสมณะจะเกิดมีขึ้นได้  จากวรรณะทั้งสี่นี้แล  เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกัน    หรือเหมือนกัน  จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน  ก็ด้วยธรรมเท่านั้น  ไม่ใช่นอก  ไปจากธรรม  ความจริงธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในประชุมชน ทั้งในเวลาที่เห็นอยู่  ทั้งในเวลาภายหน้า 

     กษัตริย์ก็ดี  ...  พราหมณ์ก็ดี  ...  แพศย์  ก็ดี  ...  ศูทรก็ดี  ...  สมณะก็ดี  ...  ประพฤติกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต  เป็นมิจฉาทิฐิ  ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ  เพราะยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ    เป็นเหตุเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  ย่อมเข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ทั้งสิ้น  ฯ 

               กษัตริย์ก็ดี  ...  พราหมณ์ก็ดี  ...  แพศย์  ก็ดี  ...  ศูทรก็ดี  ...  สมณะก็ดี  ...  ประพฤติกายสุจริต  วจีสุจริต  มโนสุจริต  เป็นสัมมาทิฐิ  ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ  เพราะยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิเป็นเหตุ  เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ฯ 

              กษัตริย์ก็ดี  ...  พราหมณ์ก็ดี  ...  แพศย์  ก็ดี  ...  ศูทรก็ดี  ...  สมณะก็ดี  ...  มีปรกติกระทำกรรมทั้งสอง  [คือสุจริตและทุจริต]  ด้วยกาย  มีปรกติกระทำกรรมทั้งสองด้วยวาจา  มีปรกติกระทำกรรมทั้งสองด้วยใจ  มีความเห็นปนกัน   ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจความเห็นปนกันเพราะยึดถือการ  กระทำด้วยอำนาจความเห็นปนกันเป็นเหตุ  เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  ย่อมเสวยสุขบ้าง  ทุกข์บ้าง  ฯ 

              กษัตริย์ก็ดี  ...  พราหมณ์ก็ดี  ...  แพศย์  ก็ดี  ...  ศูทรก็ดี  ...  สำรวมกาย  สำรวมวาจา  สำรวมใจ  อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรม ทั้ง  ๗ แล้ว  ย่อมปรินิพพานในปัจจุบันนี้ทีเดียว  ฯ 

               ก็บรรดาวรรณะทั้งสี่นี้  วรรณะใดเป็นภิกษุ  สิ้นอาสวะแล้ว  มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  มีกิจที่ควรทำ  ทำเสร็จแล้ว  วางภาระเสียได้แล้ว  ลุถึงประโยชน์ของตนแล้วหมดเครื่องเกาะเกี่ยวในภพแล้ว    หลุดพ้นแล้ว  เพราะรู้โดยชอบวรรณะนั้นปรากฏว่า  เป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลาย    โดยธรรมแท้จริง  มิใช่นอกไปจากธรรมเลย    ความจริงธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในประชุมชน  ทั้งในเวลาเห็นอยู่ทั้งในเวลาภายหน้า  ฯ 

     แม้สนังกุมารพรหมก็ได้ภาษิต  คาถาไว้ว่า

                  กษัตริย์เป็นประเสริฐที่สุด  ในหมู่ชนผู้รังเกียจ

                  ด้วยโคตร  ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ 

                  เป็นประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์ 

     คาถานี้สนังกุมารพรหมขับถูก   ไม่ผิดภาษิต    ไว้ถูก  ไม่ผิด  ประกอบด้วยประโยชน์  มิใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์  พระพุทธองค์ทรงเห็นด้วยกับภาษิตดังกล่าว

                  กษัตริย์เป็นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจ

                  ด้วยโคตร  ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ 

                  เป็นประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์  ฯ 

                เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์แล้ว  วาเสฏฐะและภารทวาชะสามเณรก็ยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ฯ

            สำหรับอัคคัญญสูตรนี้พระพุทธเจ้าทรงตรัสแสดงแก่สามเณรวาเสฏฐะและภารทวาชะนั้นเพื่อให้มีความยินดีชื่นชมและพอใจในความเป็นเพศบรรพชิตในพระพุทธศาสนาหรือเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจจากการถูกต่อว่าถูกด่าจากพวกพราหมณ์หรือชนเหล่าอื่น ทั้งนี้ก็เพราะว่าสามเณรทั้งสองนั้นเกิดมาในตระกูลพราหมณ์ ซึ่งพวกพราหมณ์นั้นถือตนเองว่าเป็นวรรณะที่สูงสุด เป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด เกิดจากพระโอษฐ์ของพระพรหม ซึ่งในหลักความเป็นจริงแล้วก็เกิดมาจากครรภ์ของนางพรามณี ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงติเตียนพวกพราหมณ์เหล่านั้นว่าเป็นผู้ลืมบุญคุณบิดามารดาของตน ไม่รู้จักการยอมรับความจริง การที่ทรงตรัสถึงความเป็นมาของวรรณะต่างๆ ความเป็นมาของโลกการเกิดขึ้นของมนุษย์สิ่งต่างๆ เป็นต้นว่า อาหาร เช่น ข้าว  เป็นต้น ซึ่งถือเป็นพุทธวิธีหนึ่งในการสั่งสอนสาวกของพระพุทธองค์

               พระสูตรนี้เป็นที่สนใจของชาวต่างชาติมากมายทั้งนี้เนื่องจากมีการกล่าวถึงความเป็นไปของโลก  ตั้งแต่การเริ่มก่อตัวของจักรวาล  โลก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เป็นต้น    นอกจากนี้พระสูตรนี้ยังให้ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมสมัยเก่าของชาวอินเดียอีกด้วย ก็คือการลงโทษของชาวอินเดียโดยการขว้างปาสิ่งของใส่ผู้ที่ทำผิด ซึ่งยังมีให้เห็นอยู่              ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังแสดงถึงความเป็นนักประชาธิปไตยของพระพุทธองค์อีกด้วย คือแสดงถึงความเสมอภาคของมนุษย์โดยที่ทรงมองว่าคนจะดีนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติหรือวรรณะใดๆ ทั้งสิ้น ทรงให้ความเสมอภาคกับทุกคน